ภายหลังการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคสำเร็จนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญที่ทรู คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การรวมจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อให้บริการการสื่อสารอย่างไร้รอยต่อแก่ลูกค้าจำนวน 51.4 ล้านราย (ข้อมูล ณ ไตรมาส 3/2566)
True Blog ได้พูดคุยกับ “นาฟนีท นายาน” หัวหน้าสายงานกลยุทธ์เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ถึงกลยุทธ์โครงข่าย ประสบการณ์ลูกค้า และประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากโปรเจกต์เรือธงที่ใช้ชื่อว่า “Single Grid”
กลยุทธ์โครงข่าย
Single Grid ถือเป็นโปรเจกต์สำคัญด้านโครงข่าย ซึ่งมีเป้าหมายในการรวมพลังด้านโครงข่ายและโครงสร้างพื้นฐานของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน โดยจะเลือกเสาส้ญญาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรองรับในอนาคต และผลลัพธ์จากการรวมโครงข่ายให้ทันสมัย ทรู คอร์ป คาดการณ์ว่าจะสามารถปรับเสาที่ซ้ำซ้อนและอาจก่อให้เกิดสัญญาณรบกวนลงได้ถึง 30% ทั้งประเทศ โดยขยายโครงข่ายให้สัญญาณเพิ่มขึ้น ครอบคลุมขึ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568
ซึ่งนอกจากประสิทธิภาพด้านโครงข่ายจะดีขึ้นแล้ว ในมุมมองประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้าจะดีขึ้นด้วยสัญญาณที่กว้างและครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงความเร็วของสัญญาณที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยปัจจุบันโครงข่าย 4G ของทรู คอร์ปอเรชั่น นั้นครอบคลุมประชากร 99% และโครงข่าย 5G ครอบคลุมแล้ว 90% โดยตั้งเป้าขยายให้ถึง 97% ภายในปี 2568
“Single Grid ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ให้ทั้งสองแบรนด์ (ทรูและดีแทค) ได้รวมกันและปรับปรุงโครงข่ายให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ในขณะที่คลื่นความถี่มีจำนวนแบนด์วิธที่กว้างขึ้น ทำให้มีพื้นที่บริการที่หนาแน่นขึ้น ซึ่งท้ายที่สุด มันคือการสร้างโครงข่ายที่มีสมรรถนะสูง โดยมีคุณลักษณะเด่น 3 อย่าง ได้แก่ ทันสมัยขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมขึ้น” นาฟนีท อธิบาย
ในส่วนของการออกแบบโครงข่ายแบบ Granular ที่แยกย่อยองค์ประกอบด้านโครงข่ายในระหว่างขั้นวางแผนรวมโครงข่ายนั้น จะช่วยสร้างผลลัพธ์สูงสุดจากการผสานกำลังของทั้งสองฝ่าย ตลอดจนช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าจากการใช้บริการ
ทั้งนี้ การร่างพิมพ์เขียวสำหรับบิ๊กโปรเจกต์อย่าง Single Grid นั้น “ข้อมูล” ถือเป็นปัจจัยสำคัญ โดยจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับสถานีฐานและอุปกรณ์โครงข่าย เพื่อนำมาวิเคราะห์เชิงลึกควบคู่กับกรอบทางเทคนิคที่วางไว้ เพื่อ “รักษา” ไว้ซึ่งเสาสัญญาณและสถานีฐานที่สอดรับกับความต้องการการใช้งานของลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ ให้ได้มากที่สุด และขั้นตอนการ “คัดเลือก” เสาและสถานีฐานนี้จะนำมาซึ่งผลลัพธ์สูงสุดจากการทำซินเนอร์ยี่ในครั้งนี้
“ปัจจุบัน ได้มีการดำเนินการแล้วหลายร้อยจุด ซึ่งเราเห็นแนวโน้มที่ดีทั้งมุมประสิทธิภาพโครงข่ายและประสบการณ์ลูกค้า” นาฟนีท เปิดเผย
โครงข่ายสมรรถนะสูง
เขากล่าวเสริมว่า ด้วยคลื่นความถี่มีจำนวนมากขึ้นจากการใช้คลื่นความถี่ร่วม ทำให้ทรูสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด ขณะเดียวกัน ก็มีโอกาสในการสร้างรายได้มากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าดีแทค จะเข้าถึงการใช้งาน 5G บนคลื่น 2600 เมกะเฮิรตซ์ ขณะที่ลูกค้าทรู จะสามารถใช้การคลื่น 700 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานอย่างมีนัยสำคัญ โดยลูกค้าทรูและดีแทคทุกคนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากคุณภาพการบริการที่ดีขึ้นหลังการควบรวมเสร็จสิ้น ซึ่งทรู คอร์ป มีความมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าจะสามารถส่งมอบบริการที่ดีขึ้นในระหว่างการพัฒนาและปรับปรุงโครงข่ายให้ทันสมัย รวมถึงการบริหารคลื่นความถี่ในการประสานความถี่ร่วมกัน
นอกจากนี้ การบริหารเสาสัญญาณและสถานีฐาน จะเป็นการอัปเกรดอุปกรณ์ส่งสัญญาณให้ทันสมัยขึ้น ตลอดจนการกระจายสัญญาณหลายแถบ จะส่งผลให้การใช้พลังงานในโครงสร้างพื้นฐานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“นอกเหนือจากประสิทธิภาพและสัญญาณที่ครอบคลุมมากกว่าเดิมแล้ว “Single Grid” ยังมีส่วนสำคัญที่ช่วยลดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการวางแผน โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 15-20% และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จากโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) เพื่อวิเคราะห์การใช้พลังงาน และติดตามเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (Scope 1 และ 2) สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573” นาฟนีท กล่าว
และด้วยจำนวนสถานีฐานและอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่นำมาผสานร่วมกันจากโปรเจกต์ Single Grid จะทำให้ผลลัพธ์จากการซินเนอร์ยี่สูงขึ้น การลงทุนด้านการดำเนินการโครงข่ายจึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่ ค่าพลังงาน และค่าบำรุงรักษา ในขณะเดียวกัน โครงข่ายสมรรถนะสูงและสถานีฐาน พร้อมด้วยคลื่นความถี่ที่มีจำนวนมากขึ้น จะส่งผลให้ประสิทธิภาพด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (CAPEX) ดีขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้า
ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (Scope 1 และ 2) สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573
ผนึกจุดแข็ง
นาฟนีท เล่าต่อว่า แม้โปรเจกต์ Single Grid จะสามารถผลประโยชน์ได้นานัปการทั้งในมุมลูกค้า การลงทุน แต่ในทางกลับกัน การรวมโครงข่ายในมุมปฏิบัติการเป็นเรื่องที่ “ท้าทาย” อย่างมาก จากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมาหลายปี การรวมโครงข่ายมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานหลายมิติ ทั้งการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุน ซัพพลายเชน ลอจิสติกส์ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่าย ดังนั้น “ทีมเวิร์ค” ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของทีมงาน จึงนับเป็นตัวแปรที่สำคัญของโปรเจกต์ Single Grid รวบรวมและสั่งการมดงานต่างๆ เข้าด้วยกันในจังหวะเวลาที่ใช่
ที่สำคัญ ปัญหาและอุปสรรคจะผ่านไปไม่ได้เลย หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นสำคัญทั้ง 2 ราย โดยเทเลนอร์ กรุ๊ป กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำระดับโลก ได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ล้ำสมัย ขณะที่ ซีพีกรุ๊ปได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกในแต่ละท้องที่ พร้อมทั้งสนับสนุนงานด้านการขนส่งและกระจายอุปกรณ์ ส่งผลให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในเวลาที่กำหนดไว้ รวมถึงความร่วมมือจากผู้ผลิตอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ทำให้การติดตั้งเป็นไปอย่างลุล่วง
“การควบรวมในครั้งนี้ ได้มอบโอกาสอันล้ำค่าในการเรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุดจากทั้งสองฝ่าย จุดแข็งของทั้งสองบริษัทได้ช่วยสร้าง องค์กรสู่ผู้นำโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ที่มีความพร้อมต่อการเติบโตในอนาคต พร้อมด้วยโครงข่ายสมรรถนะสูง ผสานรวมจุดแข็งเป็นหนึ่งเดียว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” นาฟนีท กล่าวทิ้งท้าย