Releases

จากแก้วกาแฟที่คุณดื่ม สู่ชีวิตที่ดีขึ้นของชาวไทยภูเขา สัมภาษณ์กับ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล

07 ตุลาคม 2562


เชื่อว่าพนักงานดีแทคทุกคนคงจะตื่นเต้นกับ Never Stop Café x DoiTung คาเฟ่แห่งใหม่บนดีแทค เฮาส์ ชั้น 32 แต่นอกเหนือไปจากรสกาแฟที่หอมอร่อยและมุมพักผ่อนหย่อนใจแล้ว Never Stop Café x DoiTung ยังแฝงไปด้วยพันธกิจแห่งความเป็น Social Enterprise และยืนอยู่ร่วมกับปณิธานของดีแทคไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณดุ๊ก หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ดำเนินงานการพัฒนาทางเลือก โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย เกี่ยวกับเบื้องหลังที่มีภารกิจต่อสังคมและผู้บริโภคของ Never Stop Café x DoiTung

จุดเริ่มต้น Never stop café x DoiTung

: ตอนที่เราทราบว่าดีแทคจะเปิดคอนเซปท์คาเฟ่ให้กับพนักงาน ทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งบริหารงานคาเฟ่ดอยตุง ก็สนใจเป็นอย่างมาก เพราะเราเองก็เคยร่วมกันมาตั้งนานแล้ว เมื่อ 6-7 ปีก่อน เราทำคอนเท้นต์เกี่ยวกับการเปิดเผยราคาที่แท้จริงของผลผลิตทางการเกษตร ทำให้ชาวบ้านไม่ถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ ซึ่งดีแทคก็ได้กระจายชิ้นงานนี้ออกไป เราจึงได้รู้ว่าดีแทคใส่ใจต่อสังคม ซึ่งน่าประทับใจมาก เมื่อรู้ว่าดีแทคจะเปิดคาเฟ่ และเราก็มีผลผลิตเป็นกาแฟอยู่แล้ว ดอยตุงจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ร่วมงานกัน

ทำไมต้องเป็นดีแทค

: เมื่อคาเฟ่ดอยตุงจะร่วมงานกับใคร เราจะต้องแน่ใจว่าเราแชร์วิสัยทัศน์เดียวกันกับธุรกิจนั้น อย่างดีแทคและดอยตุงมีวิสัยทัศน์ที่เหมือนกันในฐานะธุรกิจที่ไม่ได้มองถึงกำไรแต่อย่างเดียว แต่มองเรื่องความยั่งยืนและการเติบโตไปพร้อมกันทั้งผู้ผลิต ผู้ขายและผู้บริโภค สองคือการเราต่างมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าสู่ความเป็นเลิศ ผมได้เห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของดีแทคทั้งเรื่องการเพิ่มเสาสัญญาน 5G และสามคือการที่เราทั้งสองเป็นองค์กรที่ใส่ใจกับพนักงานและลูกค้าของเราเป็นอย่างมาก เช่นในโฆษณาดีแทคชุดล่าสุดที่คุณอเล็กซานดร้า ลงไปถ่ายทำกับทุกคนอย่างเป็นกันเองนั้น ผมรู้สึกประทับใจมาก และมั่นใจว่าเราเป็นสององค์กรที่มี Vision ร่วมกัน

สิ่งที่ดีแทคและดอยตุงจะแลกเปลี่ยนกันได้

ผมมองว่า Never Stop Café x DoiTung คือพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันของทั้งดีแทคและคาเฟ่ดอยตุง นอกจากดีแทคไจแอนท์จะได้ลิ้มรสกาแฟชั้นเลิศที่ไม่เป็นรองกาแฟเกรดดียี่ห้อไหนๆแล้ว เรายังอยากให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวเบื้องหลังของเมล็ดกาแฟของดอยตุงอีกด้วย  คาเฟ่ดอยตุงนั้นมีความเป็น Social Enterprise อย่างเต็มเปี่ยม เพราะเราได้พัฒนาชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งไปด้วยนั่นคือชาวไทยภูเขา แต่ก่อนนั้นพื้นที่ของดอยตุงเป็นทั้งที่รกร้าง เป็นป่าเสื่อมโทรม มีทั้งการปลูกฝิ่น และแม้กระทั่งกองกำลังติดอาวุธ แต่เมื่อเราริเริ่มให้ชาวไทยภูเขาปลูกกาแฟเพื่อเป็นรายได้ทดแทนการปลูกฝิ่นแบบเดิมแล้ว เราก็ช่วยให้พวกเขามีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน เราก็คาดหวังฟีดแบ็คจากดีแทคไจแอนท์ในเรื่องของรสชาติของเมล็ดกาแฟและผลิตภัณฑ์ต่างๆของเรา เรื่อยไปจนถึงการบริการ เพื่อนำมาปรับปรุงคาเฟ่ดอยตุงต่อไป

Café DoiTung กับความเป็น Social Enterprise

กาแฟของดอยตุงนั้นเป็นมากกว่ากาแฟเพื่อการค้าขาย แต่เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและธรรมชาติไปในคราวเดียวกัน ดอยตุงซึ่งเป็นแหล่งปลูกกาแฟนั้น แต่ก่อนเคยเป็นที่ปลูกฝิ่นและเป็นป่าเสื่อมโทรม ชาวไทยภูเขาในบริเวณนั้นก็ขาดรายได้ เพราะเขาขาดความรู้ที่ถูกต้องและโอกาสที่ดีกว่า จึงต้องหันไปทำสิ่งผิดกฎหมาย เราจึงค่อยๆแนะนำให้เขาปลูกพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์ในพื้นที่นั้น ซึ่งก็คือ กาแฟหรือแมคคาเดเมียแทนฝิ่น ซึ่งนอกจากจะรายได้ดีกว่าแล้วยังถูกกฎหมายอีกด้วย

เมื่อชาวไทยภูเขามีความรู้เรื่องการปลูกกาแฟแล้ว เราก็มอบองค์ความรู้ให้เขาเรื่องการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งการทำธุรกิจ การคั่วเมล็ดกาแฟ หรือแม้แต่การทำแบรนด์ดิ้ง ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายครัวเรือนที่สามารถสร้างแบรนด์กาแฟของตนเองได้ พวกเขานำหน้าเราไปแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งเราก็ยินดีด้วยมาก เพราะนี่คือมาตรวัดความสำเร็จของปณิธานของเรา และแม้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะดำเนินงานนี้มา 30 ปีแล้ว แต่การปลูกกาแฟก็ไม่ได้จำกัดแค่คนเฒ่าคนแก่รุ่นก่อนแต่อย่างใด เพราะคนรุ่นใหม่วัยรุ่น เขาก็สืบทอดกันแล้ว ต้องบอกเลยว่าจุดนี้เราภาคภูมิใจมาก นอกจากนี้เมื่อเทียบกับ 30 ปีก่อน ชาวบ้านก็มีรายได้เพิ่มกว่าเดิมถึง 28 เท่าอีกด้วย

สร้างอาชีพแบบรักษาธรรมชาติ

ในพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรมนั้น หากเราเลือกวิธีบังคับให้ชาวไทยภูเขาปลูกป่าทดแทน ท้ายที่สุดแล้วป่าดังกล่าวจะไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนได้ เราจึงรณรงค์ในการปลูกป่าพร้อมไปกับการให้ความรู้เรื่องการปลูกกาแฟ เพราะต้นกาแฟนั้นอยู่ร่วมกับต้นไม้ชนิดอื่นได้ และต้องการร่มเงาจากป่าอีกด้วย เพราะฉะนั้นเมล็ดกาแฟของเราจึงมีความพิเศษ ตรงที่มีเวลาสะสมอาหาร รับแสงแดดรำไร และไม่รับแสงแดดโดยตรงเหมือนกาแฟจากที่อื่น

ก้าวต่อไปของ Never Stop Café x DoiTung

ทั้งดอยตุงและดีแทคต่างมีวิสัยทัศน์ที่เหมือนกันอยู่แล้ว ก้าวต่อไปคือการร่วมจัดกิจกรรมกับดีแทคไจแอนท์ และอยากเน้นกิจกรรมที่ทำให้ดีแทคไจแอนท์ได้เห็นถึงเบื้องหลังของคาเฟ่ดอยตุง ที่เน้นการพัฒนาชีวิตของชาวไทยภูเขาและสภาพแวดล้อมไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

 

 

 

 


Related Content